แชร์ประสบการณ์และมุมมองการดูแลคนไข้ของแพทย์หญิงรภัส สมะลาภา จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานใช้ทุนโรงพยาบาลชุมชน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ปัจจุบันเรียนต่อแพทย์ประจำบ้านสาขาอายุรศาสตร์ชั้นปีที่ 3 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
“หมอ...หมอจะปล่อยให้แม่หนูตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร” แล้วจะทำอย่างไรได้...ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ทุกคนล้วนต้อง “ตาย” เป็นความจริงที่หลีกหนีไม่ได้
ในบทความนี้จะขอใช้คำว่า “ตาย” อย่างไม่อ้อมค้อม เพราะอยากให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านทำความคุ้นชินกับความตายกันสักหน่อย ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา ถึงแม้การยอมรับความตายจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยก็ตาม
ทุกวันนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมากจนจุดที่หมอต้องแจ้งญาติว่าหมดหนทางรักษานั้นน้อยลงไปทุกที และในเมื่อมีทางรักษาได้ใครเล่าจะไม่รักษา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เห็นมีใครมาบอกว่าการรักษาโรคบางอย่างนั้นสร้างความสะบักสะบอมแก่คนไข้มากเพียงใด แล้วสุดท้ายก็ “ตาย” อยู่ดี
...
ในเมื่อของฟรีไม่มีในโลก การรักษาโรคภัยก็เช่นกัน หากเราหวังจะหายจากโรคที่เป็น เราย่อมต้องแลก ไม่ว่าจะแลกด้วยร่างกายที่ทรุดโทรมลงจากการให้ยา เช่น การให้ยาเคมีบำบัด เป็นต้น หรือแลกกับภาวะจิตใจที่ห่อเหี่ยวจากการเข้าๆออกๆโรงพยาบาล ครอบครัวที่ต้องเสียการงาน เสียค่าเดินทางมาเฝ้าที่โรง พยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีแต่มากขึ้นในขณะที่รายได้เริ่มถดถอยลงไป
สิ่งเหล่านี้คือ “ต้นทุน” ที่ต้องจ่าย เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจรักษาวิธีใดวิธีหนึ่ง เราต้องคิดให้ดีว่าการลงทุนครั้งนี้จะคุ้มเสียหรือไม่ และจุดนี้แหละที่จะบอกว่า แค่ไหนที่เราควรจะ “พอแล้ว” กับการรักษาที่แม้จะมีโอกาสหายอยู่บ้าง แต่เป็นวิธีที่อาจจะบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไข้จนไม่คุ้มที่จะแลก
เมื่อสถานการณ์คับขันมาถึง ญาติมักจะต้องมาคุยกับหมอเพื่อตัดสินใจว่า “จะไปต่อ หรือพอแค่นี้” แม้ว่าหลายๆครั้ง ในใจนั้นอยากจะบอกว่า “พอเถอะ ไม่อยากเห็นแม่ทรมานไปมากกว่านี้” แต่สมองก็บอกว่า “นี่ฉันกำลังบอกหมอว่าไม่ต้องช่วยแม่ใช่ไหม ฉันไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู” ความรู้สึกผิดที่พรั่งพรูมักจะทำให้เลือกตัดสินใจบอกหมอให้ทำทุกวิถีทาง ขอเพียงให้คนไข้ยังมีลมหายใจต่อไปแม้จะถูกใส่สายใส่ท่อระโยงระยางแทบทุกรูทวาร แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อ “ใครจะทนเห็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตาได้”
จึงขอถามว่าแล้วแบบนี้ไม่ตายหรืออย่างไร สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน สิ่งที่น่ากลัวในเวลานี้คงไม่ใช่ความตาย หากแต่เป็น “ความทรมานก่อนตาย” ต่างหาก
การ “รักษาโรค” ที่เราคุ้นเคยกัน คือการรักษาเพื่อให้หายจากโรค (Curative care) เช่น การให้ยาฆ่าเชื้อ การผ่าตัดอวัยวะที่อักเสบติดเชื้อ การผ่าก้อนเนื้องอก การให้เคมีบำบัด เป็นต้น แต่ความจริงแล้วในทางการแพทย์สามารถให้การรักษาในรูปแบบอื่นได้ เช่น การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) ซึ่งไม่ได้มุ่งหวังเพื่อ ให้หายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ แต่เป็นการรักษาที่เน้นการ “บรรเทาอาการ” เป็นหลัก
เช่น มีก้อนมะเร็งที่ตับทำให้มีอาการปวดท้องและหายใจเหนื่อย จะให้การรักษาด้วยยาแก้ปวดและการลดอาการเหนื่อย เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบายตัวขึ้นและใช้ชีวิตอยู่กับก้อนมะเร็งได้ โดยหมอไม่ได้ไปจัดการอะไรกับก้อนมะเร็งเลย เป็นต้น การรักษาแบบประคับประคองนี้ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ใช่ว่าหมอไม่รักษา (ให้หาย) แต่เป็นการรักษาที่จะช่วยให้คนไข้มีโอกาสใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสบายตัวสบายใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถึงแม้ว่าร่างกายจะทรุดโทรมลงจากโรคที่ดำเนินไปก็ตาม
ในอีกมุมหนึ่ง หลายครั้งที่ญาติทำใจได้แล้ว แต่เป็นตัวหมอเสียเองที่พยายามรั้งคนไข้ไว้ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะสูญเสียคนไข้ไป ทั้งรักษากันมานานจนมีความรู้สึกว่าเป็นญาติมิตร และตลอดเวลาที่เรียนแพทย์นั้นหมอถูกสอนให้รักษาโรคให้หายเป็นเสียส่วนใหญ่ การที่คนไข้หายป่วยเท่ากับเราทำได้สำเร็จ เมื่อมาเจอสถานการณ์ที่ต้องปล่อยคนไข้ไป ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดีหรือผิดหวังในตัวเอง ความรู้สึกเหล่านี้ส่งผลต่อการรักษาของเราทั้งนั้น คนไข้ทั้งถูกใส่ท่อช่วยหายใจ ล้างไต หรือใส่สายสวนต่างๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่ทำใจปล่อยคนไข้ไปได้ ทั้งๆที่รู้ว่าภาวะตรงหน้านั้นสามารถรักษาได้ด้วยวิธีใด
...
ยกตัวอย่างเป็นคนไข้มีก้อนมะเร็งที่ตับ (คนเดิม) ที่เพิ่มเติมคือมีภาวะไตวาย หมอให้คนไข้ไปล้างไต ยืดเวลาชีวิตอยู่ได้อีกสองสัปดาห์ ซึ่งสุดท้ายก็ตายอยู่ดีเนื่องจากตัวโรคนั้นลุกลามไปมาก ในช่วงสองสัปดาห์ที่ยื้อมานั้น ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อล้างไต ปวดตามร่างกายขณะเคลื่อนย้าย ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจนญาติต้องหยิบยืมคนอื่นมาเพื่อใช้ในยามคับขัน ถึงหมอจะมีภาระต่างๆมากมาย
แต่อย่าลืมไปว่าหมอไม่ได้ดูแลเฉพาะคนไข้ที่อยู่บนเตียง แต่ครอบครัว จิตใจ และสังคม เรียกว่า “โลกของคนไข้ทั้งใบ” ก็เปลี่ยนแปลงไปตามปลายปากกาที่หมอสั่งการรักษาด้วยเช่นกัน
การดูแลคนคนหนึ่งให้มีช่วงชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็เชื่อว่าไม่ได้ยากเกินกว่าจะทำได้ เราสามารถ “ลดความทุกข์ทรมานก่อนตาย” ได้จริงขึ้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจและ “การเปิดใจ” ของทั้งญาติและหมอ แม้จะต้องเสียสละแรงกาย มีแรงใจที่เข้มแข็งและใช้เวลาสักหน่อย...
แต่ในเมื่อคนเราเกิดมาครั้งเดียว สุดท้ายก็ตายครั้งเดียว เชื่อเถอะว่าการลงทุนครั้งนี้ คุ้มค่าอย่างแน่นอน.
...
หมอดื้อ